อาหารขึ้นชื่อจังหวัดกระบี่
วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563
ที่ท่องเที่ยวในกระบี่
ที่ท่องเที่ยวในกระบี่
1.สระมรกต
ตั้งอยู่ที่อำเภอคลองท่อม ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประมง โดยมีต้นกำเนิดมาจากธารน้ำอุ่นในผืนป่าที่ราบต่ำภาคใต้ ไฮไลท์อยู่ที่นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมกับสระน้ำธรรมชาติที่มีสีเขียวเหมือนมรกตขนาดใหญ่ และมีความใสจนมองเห็นพื้นหินข้างล่างได้อย่างชัดเจน รอบ ๆ บริเวณยังมีศาลาเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักผ่อน ชมวิวทิวทัศน์ รวมถึงยังได้เพลิดเพลินกับการว่ายน้ำเล่น
2.ทะเลแหวก
หนึ่งในที่เที่ยวสุดอันซีนของกระบี่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งมีที่มาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติเมื่อยามน้ำลด ที่จะพัดพาเอาเม็ดทรายมารวมกัน ณ ที่นี้ และเผยให้เห็นแนวสันทรายยาวเชื่อมต่อได้ระหว่าง 3 เกาะ คือ เกาะไก่ เกาะหม้อ และเกาะทับ นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นไป-มาระหว่างเกาะ ท่ามกลางบรรยากาศน้ำสวยทะเลใสของกระบี่
3.อ่าวนาง
เป็นหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของกระบี่ ด้วยเพราะเป็นจุดต่อเรือไปยังที่ต่าง ๆ ได้สะดวก จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวแวะเข้ามาเที่ยวที่อ่าวนางเป็นจำนวนมาก มีลักษณะเป็นหาดทรายทอดยาว มีถนนเลียบชายหาด มีภูเขาคั่นระหว่างชายหาด ทิวทัศน์โดยรอบสวยงามแปลกตา และยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม
4.ป่าพรุท่าปอม คลองสองน้ำ
ตั้งอยู่ที่บ้านหนองจิก ที่นี่มีแหล่งน้ำจืดที่ใสสะอาดเสียจนมองเห็นพื้นน้ำเบื้องล่าง ประดับด้วยรากไม้ป่าหลุมพีที่เลื้อยไปเลื้อยมา ยิ่งเมื่อแดดสาดแสงลงมาจับต้องแอ่งน้ำเหล่านี้ ยิ่งก่อให้เกิดประกายระยิบระยับ นักท่องเที่ยวจะได้เดินชมธรรมชาติบนสะพานไม้ระแนง ทอดตัวเลื้อยไปตามแอ่งน้ำ บางช่วงมีเก้าอี้ไม้นั่งพัก นั่งชมทัศนียภาพสองข้างทาง หรือเติมดีกรีผจญภัยอีกนิดด้วยการพายคายักล่องไปตามแนวป่าโกงกาง
5.น้ำตกร้อนคลองท่อม
ตั้งอยู่ในเขตอำเภอคลองท่อม บริเวณบ้านบางคราม-บ้านบางเตียว มีลักษณะเป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติกลางป่ารองรับน้ำตก ที่ไหลมาพร้อมกับสายน้ำแร่ และเป็นธารน้ำพุร้อนผุดที่ขึ้นมาจากใต้ดินตามธรรมชาติ ในอุณหภูมิพอเหมาะที่นักท่องเที่ยวสามารถลงไปแช่ได้ ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถบำบัดอาการไขข้ออักเสบ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และเกี่ยวกับผิวหนัง
6.หาดถ้ำพระนาง
เชื่อกันว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่สถิตของพระนางอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งชาวเรือแถบนี้เคารพสักการะ หากแต่สวยงามน่าประทับใจ ลองนักท่องเที่ยวเข้าไปอยู่ภายในถ้ำ และมองออกมาข้างนอก ปากโพรงถ้ำจะมีหินย้อยลงมาเป็นฉากระย้าสวยงาม มีท้องทะเลกว้างและเกาะน้อยใหญ่เรียงราย ในยามพระอาทิตย์ตกจะเป็นมุมมองสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย
7.หมู่เกาะห้อง
ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีทัศนียภาพสวยงามมาก ล้อมรอบด้วยน้ำทะเลสีคราม มีกัลปังหาและปะการังรอบเกาะ มีเวิ้งหาดสองหาดติดกันโดยกั้นด้วยโขดหินตรงกลาง น้ำทะเลใส หาดทรายขาว มีแนวปะการังทั้งน้ำตื้นและน้ำลึกเหมาะแก่การดำน้ำ ตกปลา
8.หาดไร่เลย์
ตั้งอยู่ในตำบลอ่าวนาง เป็นที่รู้จักดีในหมู่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมปีนหน้าผา และสามารถปีนได้ตลอดทั้งปี และถูกภูเขาล้อมรอบทุกด้าน ทำให้ผู้คนที่จะเดินทางมาเที่ยวหาดไร่เลต้องนั่งเรือเพียงอย่างเดียว ซึ่งนี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งทำให้ชาวบ้านที่หาดไร่เลย์ ยังไม่ถูกเทคโนโลยีหรือความเจริญกลืนกิน รวมถึงวิถีชีวิตของหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย
9.น้ำตกธารโบกขรณี
ตั้งอยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี มีลักษณะเป็นธารน้ำธรรมชาติไหลลงมายังแอ่งน้ำน้อยใหญ่ไล่ระดับกัน นักท่องเที่ยวสามารถลงเล่นน้ำได้ บรรยากาศร่มรื่นและสามารถเห็นทัศนียภาพของรากไม้ต่าง ๆ ที่ชอนไชอยู่ตามแอ่งน้ำอย่างสวยงาม
10.วัดถ้ำเสือ
ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองกระบี่ประมาณ 5-6 กิโลเมตร เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ พลาดไม่ได้กับการสักการะขอพรจาก "เจ้าแม่กวนอิม" ซึ่งตั้งประดิษฐานอยู่ภายในวัด สูงเด่นเป็นสง่า รวมถึงการพิชิตบันได 1,200 ขั้น เพื่อขึ้นไปสักการะ "พระธาตุเจดีย์ระฆังใหญ่" ซึ่งตั้งอยู่บนดอย อีกทั้งยังมองเห็นทิวทัศน์กระบี่ได้โดยรอบ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
หอยชักตีนลวก
หอยชักตีนเป็นหอยทะเลชนิดหนึ่ง มีมากในแทบเมืองกระบี่ มีลักษณะพิเศษคือตรงบริเวณปากกาบหอยมีติ่งคล้ายเล็บยื่นออกมา บางคนเรียกว่าตีนหอย เมื่อนำไปลวกสุก สามารถดึงตีนหอยนี้ออกมาพร้อมเนื้อหอยได้เลย เลยเป็นที่มาของชื่อหอยชักตีนหอยชักตีนลวก
วิธี ทำ
นำ ตัว หอย ชัก ตีน สด มา แช่ น้ำ เค็ม ที่ สะอาด หรือ น้ำ จืด ธรรม ดา แต่ เติม เกลือ ลง ไป ใน น้ำ เพื่อ ให้ มี รส เค็ม เหมือน น้ำ ทะเล ตำ พริก ขี้ หนู สด ใส่ ไป ใน น้ำ ประมาณ 2-3 ดอก เพื่อ ให้ มี รส เผ็ด หอย จะ ค่อย ๆ ขยับ ตัว ยื่น "ตีน" และ ตัว ออก มา นอก เปลือก ดิน โคลน ที่ อยู่ ใน ตัว หอย ก็ จะ ถูก คาย ออก มา ปะ ปน กับ น้ำ แช่ ทิ้ง ไว้ ใน ที่ ที่ ไม่ มี สิ่ง รบ กวน ประมาณ 30 นาที แล้ว เท น้ำ ทิ้ง ล้าง น้ำ และ คน หอย หลาย ๆ ครั้ง เพื่อ ให้ เปลือก ภาย นอก สะอาด เติม น้ำ ธรรม ดา ลง ไป ใน ภาชนะ ที่ ใส่ หอย เพื่อ ใช้ ต้ม พอ ท่วม ตัว หอย นำ ไป วาง บน เตา เมื่อ น้ำ เริ่ม อุ่น และ ร้อน ขึ้น หอย ก็ จะ ค่อย ๆ ยื่น "ตีน" ออก มา ต้ม ทิ้ง ไว้ จน ตัว หอย สุก มี กลิ่น หอม จึง ยก ลง เท น้ำ ทิ้ง เคล็ด ลับ ใน การ ต้ม หอย ให้ อร่อย และ สะดวก ใน การ รับ ประทาน
(1) ต้อง เลือก หอย ที่ ยัง สด
(2) แช่ น้ำ ทิ้ง ไว้ จน แน่ ใจ ว่า ดิน โคลน ใน ตัว หอย ถูก คาย ออก หมด
(3) ต้อง ต้ม หอย พร้อม น้ำ เย็น ห้าม เท หอย ลง ใน น้ำ ร้อน หอย จะ หด ตัว
4) ห้าม คน หอย ขณะ ที่ ยัง ต้ม ไม่ สุก
เอา กระเทียม น้ำ ตาล น้ำ ปลา พริก ขี้ หนู เกลือ โขลก เข้า ด้วย กัน คั้น มะนาว ลง ไป ตาม ต้อง การ ปรุง รส ให้ ออก เปรี้ยว หวาน ตาม ชอบ
เคยนึ่ง
วิธีทำ
คั้นมะพร้าวโดยใส่น้ำอุ่น ¼ ถ้วย คั้นให้ได้กะทิ 1 ถ้วย ใส่ในอ่างผส
ตักส่วนผสมใส่ถ้วยสำหรับนึ่งประมาณ ¾ ถ้วย โรยหน้าด้วยพริกขี้หนู ยกเรียงลงในลังถึงปิดฝา นึ่งในน้ำเดือดประมาณ 15 นาที
ต่อยไข่ใส่ในกะทิ ใส่เคยเค็มคนให้เข้ากัน ใส่หมูบดกับหอมแดงคนพอทั่ว
กุ้งเสียบ
กุ้งเสียบ คือกุ้งเสียบไม้นำไปรมควันหรือย่างด้วยไฟอ่อนๆ สามารถเก็บไว้ได้นาน จัดเป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่งของคนกระบี่
วิธีการทำ
ต้องคัดเอากุ้งนาง กุ้งแตะหรือกุ้งแต้ ที่ยังสด และให้ได้ขนาดเท่าเทียมกัน นำไปล้างให้สะอาด ใช้ไม้สำหรับเสียบ ซึ่งมีความหนาเท่าก้านมะพร้าว เหลาให้แบนและแหลม ปลายเสียบเข้ากลางตัวกุ้ง จากส่วนหลังไปทะลุส่วนท้อง ในส่วนข้างของตัวกุ้งเรียงชิดกัน หันหางไปทางเดียวอาจเสียบให้หันท้องประกบกันเป็นคู่ ๆ หรือให้หันด้านหลังตามกันทั้งหมดก็ได้ แต่ละเสียบมีกุ้งประมาณ๙-๑๐ ตัว จัดแต่งตามความยาวของไม้เสียบและแถวของกุ้งให้เท่า ๆ กัน เพื่อสะดวกในการจัดเก็บ เสร็จแล้วนำไปวางราบบนแผงที่สานตาห่างๆ
แล้วนำแผงนั้นไปวางเหนือกองไฟ โดยใช้ไฟอ่อนๆ ที่ให้ทั้งความร้อนและควัน ย่างให้น้ำในตัวกุ้งออกจนหมดและให้สุกดีทั่วทุกส่วน ควันไฟจะช่วยเคลือบผิวกุ้งให้เป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ และมีกลิ่นหอมปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นดีแล้วนำมาวางซ้อนสลับหัวและหางแล้วใช้เชือกมัดรวมกันเป็นมัด ๆ แต่ละมัดมีประมาณ ๔-๖ ตัว เสียบเพื่อสะดวกแก่การเก็บและส่งไปจำหน่าย
ขนมจีน
ขั้นตอนการทำขนมจีน
1. การทำความสะอาด และแช่ข้าวเป็นขั้นตอนแรก ด้วยการนำข้าวมาแช่น้ำ และล้างทำความสะอาด โดยเฉพาะสิ่งปนเปื้อนที่มักลอยอยู่ชั้นบนหลังแช่ข้าวในน้ำ หลังล้างเสร็จให้แช่ข้าวสักพัก ก่อนนำเข้าขั้นตอนการหมัก
2. การหมักข้าว
การหมักข้าวเป็นกระบวนการที่ใช้จุลินทรีย์เข้าช่วยย่อยแป้ง และทำให้เกิดกลิ่น ด้วยการหมักข้าวทั้งแบบแห้ง และแบบแช่น้ำ แต่ทั่วไปนิยมหมักแห้งมากที่สุด
การหมักข้าวเป็นกระบวนการที่ใช้จุลินทรีย์เข้าช่วยย่อยแป้ง และทำให้เกิดกลิ่น ด้วยการหมักข้าวทั้งแบบแห้ง และแบบแช่น้ำ แต่ทั่วไปนิยมหมักแห้งมากที่สุด
การหมักแห้งเป็นวิธีการหมักที่ไม่ต้องแช่ข้าว แต่จะให้น้ำแก่เมล็ดข้าวเป็นช่วงๆ เพื่อให้แป้งในเมล็ดข้าวมีการดูดซับน้ำ เกิดภาวะเหมาะสมของจุลินทรีย์ และทำให้นำมาบดได้ง่ายขึ้น ขั้นตอนการหมักมีดังนี้
– นำข้าวที่ล้างทำความ และแช่ได้เหมาะสมแล้ว ใส่ในภาชนะที่มีรูให้น้ำไหลผ่านได้ เช่น ตะกร้าไม้ไผ่ ตะแกรงลวด เป็นต้น การหมักจะเป็นการให้น้ำแก่เมล็ดข้าวทุกวันแบบไม่มีการแช่ ซึ่งมักจะหมักนาน 2-3 วัน (โรงงานมักหมักประมาณ 1-2 วัน/ครัวเรือน 2-3 วัน)
– เมื่อหมักข้าวครบตามวันที่ต้องการ ให้สังเกตข้าวที่พร้อมนำมาใช้ ซึ่งจะมีลักษณะเม็ดพองโต มีสีใสออกคล้ำเล็กน้อย เมื่อบีบจะเปื่อยยุ่ยง่าย มีกลิ่นแรงจากการหมัก ซึ่งถือว่าลักษณะเหล่านี้เหมาะสำหรับนำมาบดขั้นต่อไป
– นำข้าวที่ล้างทำความ และแช่ได้เหมาะสมแล้ว ใส่ในภาชนะที่มีรูให้น้ำไหลผ่านได้ เช่น ตะกร้าไม้ไผ่ ตะแกรงลวด เป็นต้น การหมักจะเป็นการให้น้ำแก่เมล็ดข้าวทุกวันแบบไม่มีการแช่ ซึ่งมักจะหมักนาน 2-3 วัน (โรงงานมักหมักประมาณ 1-2 วัน/ครัวเรือน 2-3 วัน)
– เมื่อหมักข้าวครบตามวันที่ต้องการ ให้สังเกตข้าวที่พร้อมนำมาใช้ ซึ่งจะมีลักษณะเม็ดพองโต มีสีใสออกคล้ำเล็กน้อย เมื่อบีบจะเปื่อยยุ่ยง่าย มีกลิ่นแรงจากการหมัก ซึ่งถือว่าลักษณะเหล่านี้เหมาะสำหรับนำมาบดขั้นต่อไป
ทั้งนี้ การหมักข้าวไม่ควรหมักนานเกิน 3-4 วัน เพราะจะทำให้ข้าวมีสีคล้ำ และมีกลิ่นคล้ายกลิ่นข้าวบูดได้ โดยจุลินทรีย์ที่ตรวจพบ ได้แก่ Bacillus subtilis, Lactobacillus plantarum เป็นต้น
3. การบดข้าว
เป็นขั้นตอนนำข้าวมาบดผ่านเครื่องบดเพื่อให้เมล็ดข้าวแตกเป็นผงขนาดเล็ก โดยมักบดขณะที่ข้าวอิ่มน้ำ ร่วมกับเติมน้ำขณะบด โดยข้าวที่บดจะแตกเป็นผงละลายมากับน้ำ ผ่านผ้าขาวสำหรับกรองให้ไหลลงตุ่ม ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจเติมเกลือประมาณ 4 ส่วน สำหรับป้องกันการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์
เป็นขั้นตอนนำข้าวมาบดผ่านเครื่องบดเพื่อให้เมล็ดข้าวแตกเป็นผงขนาดเล็ก โดยมักบดขณะที่ข้าวอิ่มน้ำ ร่วมกับเติมน้ำขณะบด โดยข้าวที่บดจะแตกเป็นผงละลายมากับน้ำ ผ่านผ้าขาวสำหรับกรองให้ไหลลงตุ่ม ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจเติมเกลือประมาณ 4 ส่วน สำหรับป้องกันการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์
4. การนอนแป้ง
การนอนแป้งเป็นขั้นตอนที่ใช้ในระดับครัวเรือน ด้วยการแช่น้ำแป้งให้ตกตะกอน น้ำแป้งส่วนบนจะมีสีเหลือง และสิ่งปนเปื้อนสีดำคล้ำจะลอยอยู่บนสุด ในขั้นตอนนี้จะทำการล้างน้ำแป้ง ด้วยการให้น้ำ และปล่อยให้ตกตะกอน ซึ่งจะทำให้แป้งขาวสะอาด และมีกลิ่นน้อยลง
การนอนแป้งเป็นขั้นตอนที่ใช้ในระดับครัวเรือน ด้วยการแช่น้ำแป้งให้ตกตะกอน น้ำแป้งส่วนบนจะมีสีเหลือง และสิ่งปนเปื้อนสีดำคล้ำจะลอยอยู่บนสุด ในขั้นตอนนี้จะทำการล้างน้ำแป้ง ด้วยการให้น้ำ และปล่อยให้ตกตะกอน ซึ่งจะทำให้แป้งขาวสะอาด และมีกลิ่นน้อยลง
5. การทับน้ำหรือการไล่น้ำ
ขั้นตอนนี้เป็นวิธีการกำจัดน้ำออกจากน้ำแป้ง ด้วยการนำน้ำแป้งใส่ผ้าขาวที่มัดห่อให้แน่น แล้วนำของหนักมาทับเพื่อให้น้ำไหลซึมผ่านออก ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 วัน หลังจากนั้นจะได้ก้อนแป้งที่มีน้ำประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์
ขั้นตอนนี้เป็นวิธีการกำจัดน้ำออกจากน้ำแป้ง ด้วยการนำน้ำแป้งใส่ผ้าขาวที่มัดห่อให้แน่น แล้วนำของหนักมาทับเพื่อให้น้ำไหลซึมผ่านออก ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 วัน หลังจากนั้นจะได้ก้อนแป้งที่มีน้ำประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์
6. การต้มหรือนึ่งแป้ง
เป็นขั้นตอนที่ทำให้แป้งสุกประมาณ 25-35 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น เพื่อไม่ให้แป้งเหนียวมากเกินไป สำหรับระดับครัวเรือนจะใช้วิธีการต้ม ส่วนในโรงงานจะใช้วิธีการนึ่งแทน
เป็นขั้นตอนที่ทำให้แป้งสุกประมาณ 25-35 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น เพื่อไม่ให้แป้งเหนียวมากเกินไป สำหรับระดับครัวเรือนจะใช้วิธีการต้ม ส่วนในโรงงานจะใช้วิธีการนึ่งแทน
ในระดับครัวเรือนจะใช้วิธีการปั้นแป้งเป็นก้อนๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20-25 ซม. นำใส่เสวียนหย่อนลงต้มในน้ำเดือด โดยให้แป้งสุกเข้าด้านในประมาณ 1-3 ซม. เท่านั้น อย่าให้แป้งสุกลึกมาก เพราะจะทำให้โรยเส้นได้ยาก
7. การนวดแป้ง
เป็นขั้นตอนการนำก้อนแป้งมาบี้ให้ส่วนแป้งสุก และแป้งดิบผสมกัน ซึ่งอาจใช้มือหรือเครื่องจักรหรือครกไม้สำหรับชาวชนบท โดยสังเกตเนื้อแป้งขณะนวด หากแป้งแห้งมากให้ผสมน้ำร้อน หากแป้งเหนียวติดกันมากให้ผสมแป้งดิบ ก้อนแป้งที่เหมาะสำหรับโรยเส้นนั้น จะข้าวประมาณ 1 กิโลกรัม ที่ทำให้ได้ก้อนแป้งเหลวหนักประมาณ 3-3.5 กิโลกรัม มีลักษณะเป็นก้องแป้งอ่อนออกเหลวเล็กน้อย
เป็นขั้นตอนการนำก้อนแป้งมาบี้ให้ส่วนแป้งสุก และแป้งดิบผสมกัน ซึ่งอาจใช้มือหรือเครื่องจักรหรือครกไม้สำหรับชาวชนบท โดยสังเกตเนื้อแป้งขณะนวด หากแป้งแห้งมากให้ผสมน้ำร้อน หากแป้งเหนียวติดกันมากให้ผสมแป้งดิบ ก้อนแป้งที่เหมาะสำหรับโรยเส้นนั้น จะข้าวประมาณ 1 กิโลกรัม ที่ทำให้ได้ก้อนแป้งเหลวหนักประมาณ 3-3.5 กิโลกรัม มีลักษณะเป็นก้องแป้งอ่อนออกเหลวเล็กน้อย
ในขั้นตอนการนวดแป้ง หากต้องการเพิ่มสีสันขนมจีนให้มีสีต่างๆจะทำในขั้นตอนนี้ ด้วยการเทสีผสมอาหารผสมลงนวดพร้อมก้อนแป้งให้มีสีเนื้อเข้ากัน
8. การกรองเม็ดแป้ง
ในบางครั้งแป้งสุกอาจจับเป็นก้อนในขั้นตอนการนวดแป้ง หากนำไปโรยเส้นอาจทำให้เส้นขนมจีนไม่ต่อเนื่องได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกรองแป้งหลังนวดด้วยผ้าขาวเสียก่อนเพื่อกำจัดก้อนแป้งสุกออกไปให้หมด
ในบางครั้งแป้งสุกอาจจับเป็นก้อนในขั้นตอนการนวดแป้ง หากนำไปโรยเส้นอาจทำให้เส้นขนมจีนไม่ต่อเนื่องได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกรองแป้งหลังนวดด้วยผ้าขาวเสียก่อนเพื่อกำจัดก้อนแป้งสุกออกไปให้หมด
9. การโรยเส้น
การโรยเส้นเป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ขนมจีนเป็นเส้น ด้วยการบีบดันก้อนแป้งเหลวให้ไหลผ่านรูขนาดลงในน้ำเดือดเพื่อทำให้เส้นสุก โดยยังคงรูปเส้นเหมือนเดิม ซึ่งในระดับครัวเรือนจะใช้แว่นหรือเฝื่อน
การโรยเส้นเป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ขนมจีนเป็นเส้น ด้วยการบีบดันก้อนแป้งเหลวให้ไหลผ่านรูขนาดลงในน้ำเดือดเพื่อทำให้เส้นสุก โดยยังคงรูปเส้นเหมือนเดิม ซึ่งในระดับครัวเรือนจะใช้แว่นหรือเฝื่อน
แว่นจะมีลักษณะเป็นแผ่นโลหะทรงกลมที่มีรูขนาดเล็กจำนวนมาก แว่นนี้จะถูกเย็บติดแน่นกับถุงผ้าที่ใช้สำหรับใส่ก้อนแป้งเหลว หลังจากนั้น รวบปลายผ้าเข้าหากัน และบีบดันแป้งให้ไหลผ่านรูลงหม้อต้ม
เฝื่อนมีลักษณะเป็นหม้อทรงกลมขนาดเล็ก 2 อัน อันแรกด้านล่างมีรูขนาดเล็กจำนวนมาก ด้านบนมีหูล็อกติดสองข้างสำหรับจับ อันทีสองมีลักษณะเหมือนกันแต่เล็กกว่า และสามารถวางสวมอันแรกได้ ซึ่งจะใช้สำหรับดันก้อนแป้งให้ไหลผ่านรูของอันแรกลงหม้อต้ม
ส่วนระดับโรงงานมักใช้ปั๊มแรงดันต่อท่อดันก้อนแป้งเหลวผ่านตะแกรงที่มีรูขนาดเล็กลักษณะคล้ายแว่นลงหม้อต้ม ซึ่งจะประหยัดแรงงาน และได้เส้นขนมจีนที่รวดเร็วกว่า
เมื่อบีบเส้นลงหม้อต้มแล้ว ให้พยายามรักษาความร้อนให้คงที่ และรอจนกว่าเส้นขนมจีนจะลอยตัวจึงใช้ตะแกรงหรือกระชุตักขึ้นมา
10. การทำให้เย็น และจัดเรียงเส้น
เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการทำขนมจีน ภายหลังจากต้มเส้นให้สุกลอยขึ้นด้านบนหม้อแล้ว ต่อมาจะใช้ตะแกรงหรือกระชุตักเส้นขนมจีนขึ้นมา แล้วจุ่มลงน้ำเย็นทันที รอจนเส้นเย็นพร้อมสามารถใช้มือจับได้
เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการทำขนมจีน ภายหลังจากต้มเส้นให้สุกลอยขึ้นด้านบนหม้อแล้ว ต่อมาจะใช้ตะแกรงหรือกระชุตักเส้นขนมจีนขึ้นมา แล้วจุ่มลงน้ำเย็นทันที รอจนเส้นเย็นพร้อมสามารถใช้มือจับได้

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)